กาแฟ เครื่องดื่มมหัศจรรย์คนทำงาน
น้ำ คือสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ มนุษย์จะขาดน้ำได้ไม่เกิน 3-4 วัน เต็มที่ไม่เกิน 7 วัน เรียกง่ายๆว่า น้ำคือสิ่งสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษยืทุกคนบนโลกใบนี้
และตลอดเวลาของการดำรงเผ่าพันธ์ของมนุษย์ได้คิดค้น สรรหา ดัดแปลง น้ำให้เป็นเครื่องดื่มชนิดต่างๆมากมาย มีรสชาติที่ชวนให้อยากดื่ม ทั้งรสหวาน เปรี้ยว ขม ซ่า หรือแม้แต่เผ็ดร้อนก็มีออกให้เลือกดื่มกัน
น้ำ คือสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ มนุษย์จะขาดน้ำได้ไม่เกิน 3-4 วัน เต็มที่ไม่เกิน 7 วัน เรียกง่ายๆว่า น้ำคือสิ่งสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษยืทุกคนบนโลกใบนี้
และตลอดเวลาของการดำรงเผ่าพันธ์ของมนุษย์ได้คิดค้น สรรหา ดัดแปลง น้ำให้เป็นเครื่องดื่มชนิดต่างๆมากมาย มีรสชาติที่ชวนให้อยากดื่ม ทั้งรสหวาน เปรี้ยว ขม ซ่า หรือแม้แต่เผ็ดร้อน
ในบรรดาเครื่องดื่มที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน “กาแฟ” คือเครื่องดื่มชนิด 1 ที่มีการค้นพบ พัฒนา และนำมาเป็นเครื่องดื่มมาตั้งแต่สมัยโบราณ จากความอยากรู้อยากทดลอง เพื่อการดำรงอยู่ของคนสมัยดึกดำบบรพ์ สู่การพัฒนาทางเทคโนโลยี ทำให้มีองค์ความรู้และประโยชน์ของกาแฟ
จนนำมาสู่การพัฒนา ทั้งสายพันธ์ และกรรมวิธีการชง ในรูปแบบต่างๆเพื่อนำมาซึ่ง รสชาติ การสร้างความกระปี้กระเปร่า ตื่นตัว รวมไปถึง สุนทรีในการดื่ม การชง การดมกลิ่นกาแฟ เรียกว่าเป็นศาสตร์ของศิลปะแขนงหนึ่งได้เลย
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับกาแฟ และวิธีการชงกาแฟสด เบื้องต้นด้วยตัวเองโดยใช้หม้อต้ม moka pot 3 cup ดื่มที่บ้าน แบบไม่ง้อ ร้านกาแฟ
ในยุคที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 เยี่ยงทุกวันนี้ และโดยเฉพาะหลายๆท่านต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ยิ่งหากผู้อ่านท่านใดที่เป็นคอกาแฟ เราขอแนะนำว่าห้ามพลาด
การชงกาแฟกินเองถือว่าเป็นความสุขของคนกินกาแฟอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้ก้าวไปอีกขึ้น แม้จะไม่ถึงกับขั้น advance ทำอร่อยเหมือนร้าน กาแฟ ทั่วไป แต่ความภูมิใจก็หาซื้อไม่ได้ที่ร้านกาแฟเช่นกัน
ก่อนจะเข้าเรื่องขอออกตัวไว้ก่อนว่า บทความนี้คือการแนะนำเบื้องต้นแบบคราวๆ เพื่อความสนุกสนาน หากใครนึกสนุกก็สามารถนำไปทดลองได้ หากผิดพลาดประการใด สามารถแนะนำ ติชม แจ้งให้เราทราบเพื่อจะได้นำมาแก้ไขบทความให้ถูกต้องต่อไป
“ชอบดื่มกาแฟ ทำงานอยู่บ้าน ไม่อยากโทรสั่งทุกวัน ทำกินเองก็ได้ มีไว้หัดไว้เป็นไว้ ไม่เสียหลาย ไม่ใช่ใส่บ่าแบกหาม”
ในบทความนี้จะเป็นการทดลองต้มกาแฟด้วยตนเอง ด้วย moka pot 3 cup และเทสรสชาติกาแฟ ที่สั่งซื้อมาจากเว็บไซท์ขายสินค้าออนไลน์ เมนูกาแฟที่จะทำก็คือเมนู เอสเพรสโซร้อน และเย็นเท่านั้น การเตรียมการสำหรับการชงกาแฟ อุปกรณ์เบื้องต้นที่ต้องใช้ มีดังนี้
- กาแฟคั่วสด บดละเอียดขนาดประมาณเม็ดน้ำตลาดทราย ยี่ห้อตามชอบ หาซื้อได้ในร้านค้าออนไลน์ทั้วไป
- หม้อต้มกาแฟ Moka pot มีหลายขนาดหลายยี่ห้อ สำหรับบทความนี้ ใช้หม้อขนาด 3 คัพ หาซื้อได้ในร้านค้าออนไลน์ทั้วไปเช่นกัน
- นมข้นหวาน และนมจืด
- น้ำแข็ง
หลักการเลือกการกาแฟ
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับกาแฟและเมนูกาแฟ เบื้องต้นกันก่อนเพื่อที่เราจะได้เข้าใจเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าเราจะชงเอง หรือไปกินที่ ร้านกาแฟ เราจะได้เลือกกาแฟได้อย่างมั่นใจ และตรงตามความต้องการซึ่งในที่นี้จะขออธิบายอย่างคราวๆดังนี้
เมล็ดกาแฟคือวัตถุดิบต้นทางของกาแฟทุกแก้ว ซึ่งการเลือกเมล็ดกาแฟนั่นก็มีความสำคัญต่อรสชาติ เรามาทำความรู้จักกับเมล็ดกาแฟไปแบบที่ละขั้นตอนกันดีกว่า
สายพันธ์ โดยหลักๆเมล็ดการแฟจะแบ่งเป็น 2 สายพันธ์หลักๆซึ่งให้รสชาติแตกต่างกัน แต่ละสายพันก็มีแยกย่อยออกไปอีกแต่เราจะกล่าวถึงเฉพาะสายพันธ์หลัักๆคือ
- เมล็ดกาแฟพันธ์อราปิก้า Arabica มีกลิ่นหอมและมีความเปรี้ยว เป็นพันธ์ที่จะต้องปลูกบนที่สูง ในอากาศหนาวเย็น และมักมีราคาสูง นับว่าเป็นสายพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
- เมล็ดกาแฟพันธ์โรบัสต้า Robusta มีความเข้ม, ขม, และคาเฟอีนปริมาณสูง บางครั้งสูงกว่าอราปิก้าเกือบเท่าตัวเลยครับ สายพันธ์นี้ทนต่อสภาพอากาศ สามารถโตได้แม้ในความสูงต่ำและอากาศร้อน
การเลือกเมล็ดตามลักษณะการคั่ว
- กรีนบีน Green Bean เมล็ดกาแฟสีเขียว เป็นกาแฟสดที่ยังไม่ผ่านการคั่ว ไม่สามารถนำไปบด หรือชงเป็นกาแฟได้ ถือเป็นเพียงวัตุดิบขั้นต้นทางของกาแฟ
- ระดับการคั่ว Roast Level ระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ อ่อน กลาง เข้ม
- ระดับการคั่วแบบอ่อน Light Level การคั่วลักษณะนี้ความเปรี้ยวของเมล็ดกาแฟจะยังคงอยู่แต่สีเริ่มมีความเข้มขึ้น หรือเรียกว่า caramelize ซึ่งทำให้น้ำตาลของเมล็ดเริ่มแตกตัวซึ่งเป็นการเริ่มพัฒนาความหวานขึ้นมา ยังคงให้ความเป็นธรรมชาติในรสชาติสูง นิยมใช้กับเมล็ดกาแฟเกรด Specialty ที่ต้องการเน้นความเป็นธรรมชาติของรสชาติ และเหมาะกับการทำกาแฟแบบ Filter โดยเฉพาะการ drip นั่นเองครับ
- ระดับการคั่วแบบกลาง Medium Level การคั่วลักษณะนี้กาแฟเริ่มเกิดการ caramelization อย่างชัดเจน สีเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ความหวานเพิ่มขึ้นมามาก ในทางกลับกันความเปรี้ยวเริ่มลดลงไป เกิดเป็นความ Balance ระหว่างความหวานกับความเปรี้ยว เป็นการคั่วที่ได้รับความนิยมทั่วโลกและนิยมใช้กับเครื่องชง Espresso
- ระดับการคั่วแบบเข้ม Dark Level รกาแฟเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลเข้ม กาแฟจะให้ความหวานมากขึ้นมาอีกจากระดับกลาง และความเปรี้ยวจะหายไปจนเกือบหมด แต่ก็จะเริ่มมีความขมเข้ามาด้วย จึงมีกลิ่นที่ซับซ้อนคือ ทั้งขมและก็หวาน เข้มแบบละมุนมากขึ้น จึงเหมาะสมที่จะนำมาทำเป็นกาแฟเย็นหรือเมนูกาแฟนม เนื่องจากกลิ่นกาแฟจะยังคงหอมชัดเจน ไม่ถูกนมหรือส่วนอื่นๆกลบไปเสียหมด
เมื่อเรารู้จักเมล็ดกาแฟเบื้องต้น เราจะสามารถเลือกซื้อกาแฟให้ตรงหรือใกล้เคียงรสชาติที่เราต้องการได้มากที่สุด เช่นอยากได้รสเปรี้ยวๆ ดิบๆแบธรรมชาติ ก็ต้องเลือก อราบิก้า ถ้าอยากได้เปรี้ยวมากขึ้นก็ต้องเลือกเป็นแบบคั่วอ่อนด้วย หรืออยากได้แบบเข้มหวานเข้มข้นละมุนละไมหอมกรุ่นนัวๆ ก็ควรเลือกโรบัสต้าคั่วเข้ม อย่างนี้เป็นต้น เมื่อเราพอจะมีหลักการในการเลือกซื้อเมล็ดการแฟแล้ว เราก็มาดูและทำความรู้จักกับ เมนูกาฟยอดนิยมเบื้องต้นคราวๆกันบ้าง แม้ว่าในบทความนี้เราจะทำแต่เอสเพรสโซ ด้วย moka pot 3 cup ก็ตาม
เครื่องดื่มเมนูหลักๆตามร้านการแฟทั่วไปต้องมี
- เอสเพรสโซ Espresso คือ กาแฟสกัดอย่างรวดเร็วด้วยไอน้ำและความร้อน เป็นพื้นฐานสำหรับการทำกาแฟทุกเมนู โดยมากมักจะมีสัดส่วนปริมาณกาแฟกับน้ำที่ออกมาอยู่ที่ 1:2 และสกัดในเวลา 23-27 วินาที ปริมาณ Espresso จะอยู่ที่ประมาณ 20-30 มิลลิลิตร เป็นเครื่องดื่มกาแฟที่เข้มข้นที่สุด และเป็นชอตกาแฟตั้งต้นให้กับเมนูกาแฟอื่นๆ
- อเมริกาโน Americano เป็นการดื่มกาแฟแบบคนอเมริกา โดยใช้น้ำร้อนผสมเพิ่มเข้าไปในกาแฟ Espresso โดยมีที่มาจากในสมัยยุคสงครามโลกที่ทหารอเมริกาเดินทางไปอิตาลี แต่กาแฟ Espresso เข้มข้นเกินไปจึงเติมน้ำร้อนเข้าไป จนกลายเป็นเมนูกาแฟที่เรียกว่า Americano ในที่สุด
- กาแฟ ลาเต้ Cafe Latte ลาเต้แปลว่านมในภาษาอิตาลี Cafe Latte จึงมีความหมายถึงนมรสกาแฟนั่นเอง กาแฟลาเต้จะมีรสชาติอ่อนโดยมีรสชาติความเป็นนมนำกาแฟ โดยมีสัดส่วนกาแฟ Espresso กับนมที่ประมาณ 1:3
- คาปูชิโน Cappuccino คาปูชิโน่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคณะนักบวช Capuchin จึงเป็นที่มาของชื่อเมนูนี้ครับ โดยมีลักษณะเป็นกาแฟนมที่มีฟองนมปิดหน้า สัดส่วนโดยประมาณจะเป็น กาแฟ 1 ส่วน นม 1 ส่วน และฟองนม 1 ส่วนครับ
- มอคค่า Cafe Mocha กาแฟมอคค่า ในปัจจุบัน มักหมายถึงเมนูกาแฟที่มีการผสมโกโก้ลงไปในเครื่องดื่มกาแฟ แต่ที่มาของเมนูนี้มาจาก ท่าเรือมอคค่า บนชายฝั่งทะเลแดงของเยเมน เคยเป็นถึงศูนย์กลางตลาดค้ากาแฟที่สำคัญในช่วงศตวรรษที่ 15 – 18 ในฐานะแหล่งลำเลียงเมล็ดกาแฟคั่วจากเอธิโอเปียและเยเมนออกสู่ตลาดโลก ซึ่งกาแฟจากแหล่งนี้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์คือจะมีกลิ่นคล้ายกับกลิ่นของโกโก้ หลังจากนั้นจึงกลายเป็นที่มาของเมนูกาแฟมอคค่า ที่ผสมโกโก้หรือช็อกโกแลตลงไปนั่นเอง
- แมคชิอาโต้ Macchiato แมคชิอาโตภาษาอิตาลีแปลว่าการประทับตรา โดยเมนู Macchiato นี้คือการทำ Espresso แล้วแต้มนมลงให้คล้ายๆกับการตราประทับ
- คาราเมล แมคชิอาโต้ Caramel Macchiato คาราเมล แมคชิอาโต้ เป็นเมนูที่ทาง Starbuck คิดค้นขึ้นมานะครับ การทำก็ง่ายดายคือเทนมผสมคาราเมลไซรัปในแก้ว แล้วเติม Espresso Shot ลงไป ก็จะได้ลักษณะแก้วที่มีสีขาวของนมแล้วตรงกลางเป็นสีดำของกาแฟเหมือนการประทับสีดำลงไป รสชาติคล้ายลาเต้ที่เติมกลิ่นแหละความหวานของน้ำเชื่อมคาราเมลลงไปครับ
- เอส เย็น Es Yen หลังจากที่กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมให้ประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน เริ่มมีการถกเถียงถึงคำว่า เอสเพรสโซ่ +เย็น ในที่สุดสมาคมกาแฟไทยก็ได้บัญญัติเมนูใหม่ว่า เอสเย็น กลายเป็นเมนูไทยแท้ๆ นั่นเอง ที่มีความเข้มข้น หวานมัน ดื่มให้หายเหนื่อยตอนอากาสร้อนๆของเมืองไทย สบายใจกันไป
เริ่มได้พอเข้าใจหลักการพื้นฐานของการแฟกันบางส่วนแล้ว ต่อไปคือการบอกถึง รสชาติของกาแฟ ว่าจะอธิบายรสชาติกาแฟหลักๆ ได้อย่างไร เพื่อที่เมื่อเราทำกาแฟกินเอง เราจะได้ปรับปรุงรสชาติแก้ไขรสชาติได้
การบอกถึงรสชาติได้
- เอซิดิตี้ Acidity คือความเปรี้ยวนั่นเองครับ ความเปรี้ยวเหล่านี้จะทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ซึ่งเป็นธรรมชาติของกาแฟมักเจอในกาแฟระดับคั่วอ่อนหรือคั่วกลาง แต่หลายคนที่ไม่ชินอาจส่ายหัวไม่ถูกใจได้ครับ
- สวิทเนส Sweetness: ความหวานของกาแฟนั่นเอง ซึ่งความหวานกับความเปรี้ยว (Acidity) นี้แหละครับ ที่มักมาสวนทางกันครับ หวานมากจะเปรี้ยวน้อย หวานน้อยจะเปรี้ยวมากครับ
- อโนมา Aroma: อโรม่าคือกลิ่นของกาแฟนั่นเองครับ ลองนึกบรรยากาสเวลาเราไปร้านนวดเพื่อผ่อนคลายจะมีกลิ่นสมุนไพรจางๆ ซึ่งกาแฟดีๆ นั้นจะมีกลิ่นที่หอมและหลากหลายจางๆละมุมละมอมเช่นกัน มีหลากหลายกลิ่นมาก เช่นกลิ่นคล้ายดอกไม้ กลิ่นคล้ายผลไม้ กลิ่นคล้ายช็อกโกแลต คล้ายเครื่องเทศ คล้ายดิน คล้ายมีกลิ่นควันไฟ เป็นต้น
- แฟลเวอร์ Flavor รสชาติของกาแฟ
- เบิร์น Burn รสชาติกาแฟที่มีกลิ่นไหม้
- บาลานซ์ Balance ความสมดุลย์ของรสชาติ ไม่เปรี้ยวเกินไป ไม่หวานเกินไป เป็นจุดที่เรียกว่าพอดี หรือ เพอร์เฟคช๊อต ครับ
- บอดี้ Body บอดี้คือความหนาของกาแฟครับ ลองจินตนาการเปรียบเทียบ นมกับน้ำเปล่าและน้ำเชื่อม ความหนาของน้ำกับนมและน้ำเชื่อมต่างกันใช่มั้ยครับ สังเกตุจะรู้สึกเหมือนว่า น้ำเปล่ามีลักษณะเรียบๆ แต่นมกับน้ำเชื่อมเหมือนจะมีลักษณะพองๆ และน้ำเชื้องก็จะรู้สึกมีความหนา มีความหนักกว่า น้ำเปล่าและนม เป็นต้นครับ สำหรับกาแฟก๋เช่นกัน แต่ละประเภทบอดี้ หรือความหนา จะต่างกันเช่นกันครับ
- วอเตอร์รี่ Watery สำหรับกาแฟที่ความหนาน้อย หรือเหมือนจืดจางเกินไป มี Body บาง คนในวงการจะใช้ศัพท์ว่า watery ครับ เปรียบเหมือนกินน้ำเปล่า
และสิ่งสุดท้ายก่อนที่เราจะทำกาแฟกินเอง ที่เราจะทำความเข้าใจกันแบบคราวๆคือ การชง หรือกรรมวิธีการชงกาแฟแบบต่างๆนั่นเองครับ ซึ่งก็จะกล่าวแบบทั่วๆไปดังนี้
การชง หรือกรรมวิธีการชงกาแฟ
- Slow Bar วิธีการทำกาแฟที่ใช้เวลานาน อาทิเช่น Drip, French Press, Pot Coffee, Syphon นั่นเองครับ
- Speed Bar วิธีการทำกาแฟที่ใช้แรงดันมาเป็นตัวช่วย นั่นคือเครื่องเอสเพรสโซ่นั่นเองครับ
- Extraction การสกัดกาแฟ
- Over Extraction การสกัดกาแฟออกมามากเกินไป ทำให้น้ำกาแฟมีความเข้มข้นเกินไปและอาจมีกลิ่นไหม้ตามมา ถือว่าาได้ yield ที่สูงเกินไป
- Under Extraction การสกัดกาแฟที่น้อยเกินไป ทำให้น้ำกาแฟมีความใสกว่าที่ควรจะเป็น และอาจมีกลิ่นเขียวเหมือนไม่สุกตามออกมา ถือว่าได้ yield ที่ต่ำเกินไป
- Perfect Extraction การสกัดกาแฟได้ระดับสมบูรณ์แบบตามที่ต้องการ
- Ratio สัดส่วนระหว่างกาแฟกับวัตถุดิบอื่น เช่นน้ำหรือนม
- Cold Brew การทำกาแฟสกัดเย็น โดยใช้น้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องในการแช่หรือไหลผ่านผงกาแฟเป็นเวลานานกว่า 12-18 ชั่วโมงเพื่อสกัดกาแฟออกมาโดยไม่ใช้ความร้อน
- Syphon Coffee วิธีการทำกาแฟแบบ Slow Bar ที่ใช้อุปกรณ์หน้าตาคล้ายหลุดมาจากห้องทดลองวิทยาศาตร์โดยการใช้หลักการของสูญญากาศเข้ามาในการสกัดกาแฟ ใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที ผลลัพธ์ได้เป็นกาแฟดำที่มีบอดี้กลางๆ
- French Press วิธีการทำกาแฟแบบ Slow Bar ที่ใช้หลักการแช่น้ำร้อนในกาแฟเพื่อสกัดกาแฟ แล้วตอนสุดท้ายเพิ่มแรงดันเล็กน้อยด้วยตัว Filter ของเครื่อง French Press ผลลัพธ์จะได้กาแฟดำที่จะมี Body ที่และความเข้มที่มากกว่า Syphon
- Pour Over/ Drip Coffee การทำกาแฟสุดยอดนิยมของ Slow Bar ในปัจจุบัน ใช้เมล็ดกาแฟวางบนแผ่นกรองแล้วใช้กาน้ำปากเล็กในการเทน้ำร้อนลงไปบนกาแฟนั้น กาแฟที่ได้จะมีความเป็นธรรมชาติสูงและสะอาดมาก นิยมใช้กับกาแฟเกรด Specialty
- Moka Pot ม่อคค่าพอท เป็นอุปกรณ์การทำกาแฟที่ให้ต้องวางบนเตาที่ให้ความร้อนหลังจากนั้นเมื่อน้ำร้อนจะเกิดแรงดันเข้าไปสกัดกับกาแฟครับ โดยรสชาติจะคล้ายกับ Espresso มีความเข้มข้นสูง สามารถนำไปผสมน้ำร้อนหรือเติมส่วนผสมอื่นเพื่อรังสรรค์เป็นเมนูอื่นๆต่อไป ซึ่งจะเป็น วิธีการที่เราเลือกใช้ในการทำกาแฟกินเองที่บ้านครับ
หลักจากเราพอทราบหลักการของการเลือกใช้กาแฟ การชง และกำแบ่งรวชาติแล้ว ขั้นต่อไปเราก็มาลงทำกาแฟกินเอง โดยวิธีการ ใช้ Moka Pot กันครับ
สำหรับวันนี้ความตั้งใจของการเขียนบทความนี้เกิดขึ้นเพราะอยากจะทดลอง สั่งกาแฟ จากร้านค้าออนไลน์มาทดลองผสม หรือการ ทำกาแฟเบลนด์นั่นเอง เพราะปกติจะสั่งซื้อมาทีละซองๆละ 150 กรัม เมื่อกินหมดก็สั่งซื้อใหม่ แต่เลือกเป็นชนิดอื่นที่ไม่ซ้ำของเดิมเพื่อเปลี่ยนรสชาติ
และเมื่อเราพอจะทราบหลักการต่างๆของกาแฟอย่างคราวๆจึงเกิดการอยากทดลอง ผสม อาริก้า และ โรบัสต้า ด้วยตนเอง เพราะจริงๆก็สามารถสั่งซื้อได้จากร้านทั่วไปที่เขาผสมให้แล้ว ง่าย สะดวกและไว
แต่ก็อยากที่บอกว่า ความชอบคือของใครของมัน ความสนุก และความภูมิใจที่ได้ทำก็เช่นกัน และก่อนที่เราจะ ผสมรสชาติที่เราต้องการได้ เราต้องทราบว่า แต่ละรสชาติที่ซื้อมาเป็นอย่างไร
ขึ้นตอนที่คิดเอาไว้คือ จะชงเอสเพรสโซช๊อตด้วย Moka Pot ขนาด 3 คัพ โดยใช้ อราบิก้าคั่วเข้ม ทำเป็นเอสเพรสโซ ร้อนและเย็นอย่างละ 1 แก้ว และชงเอสเพรสโซร้อนและเย็นโดยใช้กาแฟโรบัสต้าคั่วเข้มอีกอย่างล่ะ 1 แก้ว
ในขั้นตอนนี้โดยเนื้อหาแล้วจะเป็นการอธิบายวิธีการชงกาแฟโดยใช้ Moka Pot ครับ เริ่มกันเลย
การทำกาแฟกินเอง ด้วยม่อคค่าพ็อท ขนาด 3 คัพ ( Moka Pot 3 cup)
1. วอร์มเตาไฟฟ้า สำหรับหม้อต้มกาแฟ Moka pot
2. ตวงน้ำ 4 ออนซ์ ใส่ลงในหม้อต้มด้านล่าง จะใช้น้ำร้อน หรือน้ำเย็นก็ได้ ถ้าใช้น้ำร้อน ก็จะใช้เวลาในการสกัดกาแฟ ด้วยแรงดันน้ำน้อยกว่าใช้น้ำเย็น และบางครั้งรสชาติอาจจะแตกต่างกันด้วย
3. นำถ้วยบาสเก็ต วางลงไปด้านบนขอหม้อต้ม ตวงกาแฟใส่ลงในบาสเก็ต จนเต็มบาสเก็ต ค่อยๆตักใส่และกดเบาๆให้เห็นด้วยช้อนตัก หรือ แทมเปอร์
4. นำส่วนกาต้มมาสวมด้านบน โดยบิดตามเกลียวของหม้อให้แน่นพอประมาณเมื่อเตาไฟฟ้าเริ่มร้อนแล้ว นำหม้อต้ม Moka pot ขึ้นตั้งบนเตา เลือกความร้อนระดับสูงสุด โดยเปิดฝากาต้มด้านบนไว้
5. รอให้น้ำในหม้อต้มด้านล่างเดือด จนไอน้ำผลักน้ำให้ออกจากหม้อต้มขึ้นมาตามกรวยแกนกลางของบาสเก็ต ผ่านผงกาแฟที่บดอยู่ในบาสเก็ตและดันออกไปสู่ถ้วยกาแฟด้านบน
เมื่อไอน้ำเริ่มดันน้ำกาแฟออกไปที่ถ้วยด้านบน ให้ลดระดับไฟเตาลงเหลือ ครึ่งหนึ่งหรือปิดไปแลยก้ได้
(ช่วงนี้จะปิดฝากาก็ได้ป้องกันไอน้ำพุ่งออกมา) การผ่อนกำลังไฟ หรือปิดไปเลยจะทำให้ไม่มีความร้อนไปสร้างแรงดันไอน้ำในหม้อต้มอีก
รอให้ไอน้ำดันน้ำออกมาสู่ถ้วยด้านบนจนหมด
6. ยกกาลงจากเตา นำไปจุ่มน้ำเพื่อลดความร้อนของหม้อต้มส่วนล่าง และลดแรงดันไอน้ำ
7. เทน้ำกาแฟออกจากกาด้านบนลงสู่แก้วด้วยความระมัดระวัง อาจมีแรงดันไอน้ำตกค้างในหม้อต้ม ควรเปิดฝาออกอีกครั้งเพื่อไล่ไอน้ำออกให้หมดก่อนเทลงแก้ว เพียงเท่านี้ เราก็จะได้ กาแฟเอสเพรสโซช๊อต ขนาด 4 ออนซ์ หรือ 120 ml. ไว้ดื่มเพิ่มความสดชื่น หรือจะนำไปทำเมนูอ่นต่อไปก็ได้
และทั้งหมดนี้คือการ ชงกาแฟ moka pot แบบบ้านๆ นั่งทำงานอยู่บ้านสุขใจไม่ง้อร้านกาแฟ ลดความเสี่ยงในสถานะการ์เช่นนี้ การ์ดอย่าตก พกแอลกอฮอล์ ใส่แมส กินร้อน ช้อนกลาง และต้องฉีกวัคซีน