พืชกัญชา พืชแห่งความหวัง
หลังมีความพยายามผลักดันให้ พืชกัญชา ไม่เป็นยาเสพติดยาประเภท 5 กัญชา กลายเป็นความหวังของผู้คนในทุกๆแง่มุม
ทั้งในด้านการแพทย์ ด้านการเป็นพืชเศรฐกิจ ด้านความเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ทำมาทำยา ทำอาหาร รวมถึงบางคนคาดหวังถึงขั้น เปิดเสรีกัญชาเชิงสันทนาการ ในเกือบแง่มุมของกระแสกัญชา ต้องยอมรับว่า การใช้ประโยชน์จากพืชกัญชายังไม่ยังเป็นเปิดให้เสรี แม่จะมีการยกเลิก ถอนชื่ออกจากรายการยาเสพติด ของทั้ง ป.ป.ส.(1) และ อ.ย.(2) เมื่อเร็วๆนี้ (25.1.2565) เรามาทำความรู้กัญชาในเบื้องต้นกันครับ
Table of Contents
ภูมิหลัง พืชกัญชา
กัญชาทั่วโลก มีอยู่มากมาย ในการศึกษาถึงปัจจุบันมีมากกว่าหมื่นสายพันธุ์ มีหลักฐานการเริ่มใช้กัญชาในประเทศฝั่งตะวันตกมามากกว่า 5,000 ปี พบว่ากัญชามีผลในการบรรเทาอาการป่วยหลายอาการทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันก็เกิดอาชญากรรมขึ้นมากมายจากลุ่มผู้ใช้กัญชา กัญชาจึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารเสพติดเนื่องมาจากผู้ใช้ส่วนหนึ่งมีพฤติกรรมที่เสพติดและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
จนกระทั่งมีครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ชื่อ Charlotte’s Web ที่มีอาการชักที่ไม่มียารักษาได้ (Dravet syndrome) เด็กหญิงมีอาการชักถึง 300 ครั้งต่อสัปดาห์ และไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ ทางครอบครังได้ยินเกี่ยวกับการใช้กัญชาในเด็กที่มีอาการชัก จึงพยายามหากัญชามาใช้ ผลปรากฏว่า เพียงหยดแรกเด็กหญิงสามารถขยับร่างกายได้บ้าง เด็กหญิง Charotte ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เกิดเป็นการจุดประกายในการใช้กัญชาทางการแพทย์
ในปัจจุบัน กัญชาจึงได้ถูกปลดล็อคให้สามารถใช้เป็นกัญชาทางการแพทย์ได้ในหลายประเทศทั่วโลก จึงได้มีการศึกษาอย่างจริงจัง มีองค์ความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย รวมทั้งเรื่องสายพันธุ์กัญชา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกในการเลือกใช้กัญชา เนื่องจากกัญชาแต่ละสายพันธุ์ มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างมากมาย รวมถึงวิธีการปลูกที่แตกต่างกัน ก็จะให้สารออกฤทธิ์ที่ต่างกัน
กัญชา
กัญชา เป็นพืชสกุล Cannabis อยู่ในวงศ์ Cannabaceae กัญชา 3 สายพันธุ์กลักๆที่พบบ่อย ได้แก่ สายพันธุ์ซาติวา (Cannabis sativa) สายพันธุ์อินดิกา (Cannabis indica) และสายพันธุ์รูเดอราลิส (Cannabis ruderalis) ส่วนคำว่ามาลีฮวนน่า (Marijuana) เป็นคำแสลงที่ใช้ส่วนดอกของต้นกัญชานำมาสูบ
ซาติวา SATIVA
เป็นภาษาละติน แปลว่า เพาะปลูก ตั้งโดย คาโรรัส ลินเนียส Carolus Linnæus หรือ Carl Linnaeus) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน โดยจัดวงศ์พืชชนิดนี้ไว้เมื่อปี ค.ศ. 1753 (พ.ศ. 2296) มีแหล่งกำเนิดบริเวณเส้นศูนย์สูตร เช่น โคลัมเบีย เม็กซิโก (ทวีปอเมริกา) ตอนกลางของทวีปแอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซาติวามีลำต้นหนา ความสูงเมื่อเติบโตเต็มที่ประมาณ 6 เมตร ใบยาว เรียว สีเขียวอ่อน (เมื่อเทียบกับอินดิกา) ระยะเวลาการเติบโตพร้อมเก็บเกี่ยว 9-16 สัปดาห์ ชอบแดดและ อากาศร้อน ซาติวามีสาร THC (Tetrahydrocannabinol) ที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท (Psychoactive) สูงกว่าอินดิกา
อินดิกา indica
ผู้ค้นพบสายพันธุ์นี้คือ ฌอง-แบ๊บติสท์ ลามาร์ค (Jean-Baptiste Lamarck) ทหารนักชีววิทยา ชาวฝรั่งเศส ผู้ตั้งชื่อและตีพิมพ์ความรู้เรื่องกัญชาสายพันธุ์นี้ในปี ค.ศ. 1785 (พ.ศ. 2328) กัญชาสายพันธุ์อินดิกาได้ชื่อตามแหล่งกำเนิดที่ค้นพบในอินเดียและบริเวณตะวันออกกลาง
อินดิกามีลำต้นพุ่มเตี้ย ความสูงเมื่อเติบโตเต็มที่ประมาณ 180 เซนติเมตร ใบกว้าง สั้น สีเขียวเข้ม (เมื่อเทียบกับซาติวา) กิ่งก้านดกหนา ระยะเวลาการเติบโตพร้อมเก็บเกี่ยว 6-8 สัปดาห์ ชอบที่ร่มและอากาศเย็น อินดิกามีสาร CBD (Cannabidiol) ซึ่งออกฤทธิ์ระงับ ประสาท (Sedative) ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดอาการปวดเรื้อรัง
รูเดอราลิส ruderralis
ผู้ตีพิมพ์เรื่องราวกัญชาสายพันธุ์นี้คนแรก คือ นักพฤกษศาสตร์ชาวรัสเชีย ดี.อี. จานิสเชสกี้ (D. E. Janischewsky) เมื่อปี ค.ศ. 1924 (พ.ศ. 2467) กัญชาสายพันธุ์รูเดอราลิสมีแหล่ง กำเนิดบริเวณตอนกลางและตะวันออกของทวีปยุโรป
รูเดอราลิส มีลำต้นเตี้ยที่สุดในบรรดา 3 สายพันธุ์ ดูคล้ายวัชพืช ใบกว้างมี 3 แฉก เติบโตเร็ว อยู่ได้ทั้งอากาศร้อนและเย็น ปริมาณสาร THC น้อย (เมื่อเทียบกับสองสายพันธุ์แรก) แต่มี CBD สูง มักนำไปผสมข้ามสายพันธุ์ (hybrid) กับซาติวาและอินดิกา เพื่อให้ได้ คุณสมบัติทางยา
ประโยชน์ของสาร THC และ CBD ในกัญชา
กัญชา แต่ละสายพันธุ์มีสาร THC (Tetrahydrocannabinol) และ CBD (Cannabidiol) ในปริมาณที่ไม่เท่ากัน สามารถสกัดไปใช้ทำเป็นยา ใช้ในทางการแพทย์เพื่อใช้รักษากลุ่มโรคบางอาการได้ แต่ก็มีความอันตรายต่อระบบประสาท จึงต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
- สาร CBD มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ ลดการชักเกร็ง ช่วยให้สงบ ผ่อนคลาย และมีคุณสมบัติยังยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกหลายชนิดในหลอดทดลอง
- สาร THC มีผลต่อจิต ประสาท ทำให้ผ่อนคลาย นอนหลับ ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และกระตุ้นให้อยากอาหาร
กัญชาสายพันธ์ไทย
กัญชาพันธุ์หางกระรอก หรืออีกชื่อที่เป็นที่รู้จักคือ ไทยสติ๊ก(Thai Stick) สายพันธุ์กัญชาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก เพราะมีค่า THC (Tetrahydrocannabinol) หรือสารที่ทำให้เคลิ้มและใช้ในการรักษานั้นมีอยู่สูงมาก
มีลักษณะเรียวยาวเป็นแท่งตรงคล้ายแท่งไม้ เติบโตได้ดีในสภาพอากาศไทย ชอบความชื้น ดินและแสงแดดที่เหมาะสม จึงทำให้เป็นสายพันธุ์ที่มีค่า THC หรือสารที่มีคุณประโยชน์ในทางรักษาสูง และเป็นสายพันธุ์แท้ดั้งเดิมที่มีขึ้นอยู่ตามธรรมชาติแถบเทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร มาตั้งแต่สมัยโบราณก่อนที่จะถูกกำหนดให้เป็นสิ่งเสพติด
ส่วนสรรพคุณของหางกระรอกนั้นก็เหมือนกับกัญชาตัวอื่นๆ ช่วยให้รู้สึกเคลิ้ม ลดความเครียด ช่วยให้เจริญอาหาร
ชื่อ Thai Stick นั้นมายุคสงครามเวียดนาม เหล่าทหารอเมริกันที่เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยต่างติดใจกับกัญชาไทย ที่พวกเค้าเรียกว่า “Thai Stick” จนมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมถึงหลายๆ ประเทศในยุโรป จนทั่วโลกยอมรับว่า กัญชาจากประเทศไทย คือ กัญชาที่ดีที่สุดในโลกในยุคนั้น แต่หลังจากสิ้นสุดสงคราม ก็เกิดการกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เกิดการปราบปรามกัญชาในประเทศไทยอย่างจริงจัง ส่งผลให้ “Thai Stick” หายสาบสูญไปจากประเทศไทย ทั้งในแง่ขององค์ความรู้ด้านการผลิต และในด้านของสายพันธุ์กัญชาที่เป็นสายพันธุ์ต้นตำรับ จนปัจจุบัน Thai Stick ถูกขนานนามว่าเป็น Lost Art หรือศิลปะที่หายสาบสูญ
ปัจจุบันมีหลายคนพยายามส่งเสริมและพลักดันให้ กัญชาหางกระรอก รวมถึงการทำ Thai Stick ให้กลับมาอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้
สายพันธ์ที่นิยมในการแพทย์
พืชกัญชา นอกจากสายพันธุ์หลักๆทั้ง 3 สายพันธ์ข้างต้น เรายังสามารถจำแนกเป็นสายพันธุ์ย่อยเป็นสายพันธุ์กัญชาที่นิยมนำมาใช้ในทางการแพทย์ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีสาร CBD (Cannabinoid) สูง เพราะเมื่อนำมาใช้จะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงเมื่อเทียบกับสาร THC (Tetrahydrocannabinol) สำหรับใครที่สนใจอยากปลูกกัญชา เราได้รวบรวมสายพันธุ์กัญชาที่เหมาะจะนำมาใช้ในการแพทย์มากที่สุดทั่วโลก 5 สายพันธุ์ ดังนี้
Harle-Tsu
ฮาร์ละ’ สึ (Harle-Tsu) สายพันธุ์กัญชา Indica Dominant 60% เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์ Sour Tsunami และ Harlequin ออกมาเป็นสายพันธุ์กัญชาที่เปรียบเสมือนยาแก้ปวด และให้สาร CBD สูงมาก
เมื่อเทียบกับสาร THC สัดส่วนอยู่ที่ 22 : 1 ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น ไมเกรน ภาวะซึมเศร้า การนอนไม่หลับ การอักเสบ และภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD)
Cannatonic
แคนนาโทนิก (Cannatonic) เป็นสายพันธุ์ Indica และ Sativa อย่างละ 50% เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์ Reina Madre และ NYCD เมื่อสกัดออกมาจะได้สาร CBD ประมาณ 6-17% และสาร THC ประมาณ 6%โดยกัญชาสายพันธุ์นี้สามารถจำแนกปริมาณสาร CBD ต่อสาร THC ได้ 3 รูปแบบคือ
- มีอัตราส่วนของสาร CBD และ THC เท่ากันอยู่ที่ 1 : 1
- มีอัตราส่วนของสาร CBD มากกว่า THC
- มีอัตราส่วนของสาร THC มากกว่า CBD
สำหรับสายพันธุ์แคนนาโทนิก อัตราส่วนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ 1 : 1 ถึงแม้ว่าสาร THC จะมีผลข้างเคียงมาก แต่ก็มีโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็งผิวหนัง โรคออทิสติกและอาการปลายปลอกประสาทเสื่อม ที่ต้องใช้สารทั้งสองชนิดควบคู่กันไปในการรักษา ดังนั้นกัญชาสายพันธุ์แคนนาโทนิก จึงนิยมนำไปใช้ในทางการแพทย์
OG Kush CBD
โอจี คุช ซีบีดี (OG Kush CBD) เป็นสายพันธุ์ Sativa Dominant 60% เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์ OG Kush และ pureCBD เป็นสายพันธุ์กัญชาที่มีปริมาณสาร CBD และ THC เท่ากันคือ 10% หรือในอัตรา 1 : 1 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง ทำให้สายพันธุ์นี้มีประโยชน์อย่างมาก มักจะนำไปใช้ประโยชน์ในการช่วยลดความวิตกกังวล ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ความเจ็บปวด และความผิดปกติของการนอน
Charlotte’s Web
ชาร์ล็อตต์ เว็บ (Charlotte’s Web) กัญชาที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เป็นสายพันธุ์ที่มี Indica Dominant 60% ให้สาร CBD ในปริมาณที่สูง โดยมีอัตราส่วนของสาร CBD ต่อสาร THC อยู่ที่ 27 : 1 ด้วยปริมาณสาร THC ที่ต่ำมาก จึงมักจะนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ช่วยบำบัดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ในรูปแบบของน้ำมัน CBD (CBD oil) เพราะสายพันธุ์นี้ไม่ทำให้เกิดการมึนเมาและไม่มีผลต่อสมอง
ในทางการแพทย์สายพันธุ์นี้ถูกนำไปใช้ในการรักษาอาการชักในเด็ก จนโด่งดังเป็นที่รู้จักและเป็นที่มาของชื่อจากการช่วยเด็กหญิง Charlotte Figi ซึ่งป่วยเป็นโรคลมชักชนิดรุนแรง (Dravet’s Syndrome)
Ringo’s Gift
ริงโก กิฟต์ (Ringo’s Gift) เป็นสายพันธุ์ Sativa Dominant 60% หรือเป็นกัญชาที่มีความเป็นซาติวาสูงกว่าอินดิกา เป็นสายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมระหว่าง ACDC และ Harle-Tsu ซึ่งทั้งสองพันธุ์ขึ้นชื่อว่าให้สาร CBD อยู่ในระดับสูง โดยตั้งชื่อตาม Lawrence Ringo นักเคลื่อนไหวด้านกัญชาและเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ CBD
ริงโก กิฟต์ มีอัตราส่วนระหว่างสาร CBD และ THC อยู่ที่ 20 : 1 มักจะนิยมใช้กับกลุ่มคนที่มีอาการทางสมอง โรคลมชัก โรคพาร์กินสัน อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD) และโรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง
เรื่องนี้คุณอาจสนใจ
facebook : gettythailand